วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Glock

ประวัติปืน Glock ยาวหน่อยแหๆ..

Glock เป็นปืนพกมาตราฐานที่ผลิตขึ้นโดย บริษัท Glock ประเทศออสเตรีย หากกล่าวปืน Glock โดยคร่าวๆ คงเป็นการบอกล่าวถึงโครงสร้างของปืน โดยโครงสร้างของปืน Glockทำจากโพลิเมอร์ ส่วนที่เป็นลำเลื่อนและลำกล้องถึงจะทำด้วยเหล็กกล้าความพิศดารของปืนGlock อยู่ที่ไม่มี sefe และวัสดุที่ดูเหมือนพาสติก แต่อย่างเพิ่งคิดว่า Glock จะไม่มีสิ่งเย้ายวนใจให้น่าพิศมัยเหมือนปืนของที่อื่นเขานะครับ เพราะว่าเป็นความพิเศษของปืน Glock นั้น อยู่ตรงที่ระบบการจุดชนวนที่เป็นแบบเข็มแทงขนวนชนิดพุ่งกระแทก ไม่ใช้นกสับ และที่สำคัญ เรื่องราคาที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้ซื้ออยู่มาก แต่ปัจจุบันหลักจากรัฐบาลได้มีนโยบายจำกัดการมีอาวุธปืน ทำให้ราคาพุ่งขึ้นสูงเอาการอยู่ทีเดียวแต่เมื่อเทียบกับปืนแบบอื่นๆที่มีขาย ในท้องตลาด ก็นับว่าเป็นราคาที่ยังพอรับได้ กับจุดประสงค์เพื่อนำมาใช้งานอย่างแท้จริง เรื่องความสวยงามนั้นก็แล้วแต่จิตใจคุณจะชอบอย่างไร ไม่ขอออกความเห็น มาว่ากันด้วยเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานมากกว่า


ปืน Glock ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1963 โดยผู้ที่ประดิษฐ์ปืน Glock คือวิศวกรที่ทำงานอยู่ใน Deutsch-Wagram ซึ่งไกล้กับ Vienna ชื่อนักวิศกรผู้นี้คือ Mr.Gaston Glock โรงงานที่เขาทำอยู่นั้นเป็นโรงงานที่เกี่ยวกับการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ที่ทำจากพาสติก และเหล็ก เขาได้เริ่มพัฒนาและประดิษฐ์ปืน Glock ของเขาอย่างจริงจัง ณ แห่งนี้ความหวังลึกๆ ของเขาคือ "ปืนของเขานั้นเป็นปืนที่ดีที่สุด เพื่อเข้าไปช่วยงานในกองทัพได้" และนอกจากปืนแล้วเขายังผลิต ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่สำคัญสำหรับการออกสนามรบ เช่น อุปกรณ์สนาม มีด และอาวุธต่างๆ ความมุ่งมั่นของเขาที่ทำให้ปืน Glock ขึ้นตำแหน่งผู้นำของโลกในเรื่องคุณภาพของปืนโดยเขายึดมั่นมาตราฐานการผลิต 3ประการคือ ความเชื่อมั่นของลูกค้าความสะดวกในการใช้งาน การพกพา และการบำรุงรักษาที่ง่าย ก่อนที่จะติตามเนื้อหาของปืน ลองมาทำความรู้จักกับ ผู้ประดิษฐ์คิดค้น ปืน Glock กันก่อนนะครับ ว่านายช่างยอดอัฉริยะผู้นี้เป็นใคร

แกสตั้น กล็อค (Gaston Glock) ชาวออสเตรียเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานบริษัท Glock ไม่ต้องบอกเราคงจะทราบแล้วว่าลุงแกสตั้น แกเป็นบุคคลระดับอัฉริยะของโลก แต่ที่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ก็คือ กล็อคยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำวันละหลายกิโลเมตร ขนาดอายุปีนี้ก็ 77 ปีแล้วแต่ยังแข็งแรงล่ำบึ๊ก เมื่อคืนวันที่ 26 กรกฎาคม 2542 กล็อกถูกทำร้ายที่เมืองลักซัมเบอร์ก โดยคนร้ายตีหัวด้วยฆ้อนยาง หัวแตกถึงเจ็ดแผล เสียเลือดไปกว่าหนึ่งลิตร ลุงแกสตั้นยังมีแรงสามารถชกคนร้ายที่อายุน้อยกว่าเกือบ 20 ปี จนฟันหลุดออกจากปากอัดกำปั้นเข้าเบ้าตา ไม่มีแรงหลบหนี เช้าวันต่อมามีคนไปพบทั้งสองคนนอนทับกันอยู่ จึงได้แจ้งตำรวจและหน่วยพยาบาลเข้าช่วยเหลือ

อ่านต่อ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวที่กองทัพบกสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 x 45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967โดยเข้าประจำการแทนปืน M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm. NATO (.308 Winchester) และยังใช้กันอยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO ทั้ง 15 ประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวที่กองทัพบกสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 x 45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967โดยเข้าประจำการแทนปืน M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm. NATO (.308 Winchester) และยังใช้กันอยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO ทั้ง 15 ประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 Ball หรือ SS-109 ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพทำลายล้างมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense(US DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติ (Burst Auto) คือชุดละ 3 นัด/ครั้ง โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม

เมื่อถึงทศวรรษ 1980 ได้มีการปรับปรุงปืน M16A1 เป็น M16A2 และ M16A3 ตามลำดับ โดยรุ่น A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto)และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนรุ่น A4 ก็ไม่ต่างจากรุ่น A3 เพียงแต่จะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติ (Three-Burst Auto) เพียงเท่านั้น โดยทั้งรุ่น A3 และ A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 ทุกประการแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top)ออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ในขณะที่ A2 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว ในขณะที่ M16A1 ติดขาทรายและปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกลเบา SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาดเดียวกับปืน M16 เพื่อลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนามรบของหน่วยพลาธิการ ในช่วงทศวรรษ 1980 โดยทั้งปืน M16A2 และปืนกล M249 นั้น จะใช้กระสุนมาตรฐานของ NATO ทั้งหมด ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวในการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ