วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวที่กองทัพบกสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 x 45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967โดยเข้าประจำการแทนปืน M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm. NATO (.308 Winchester) และยังใช้กันอยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO ทั้ง 15 ประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวที่กองทัพบกสหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 x 45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967โดยเข้าประจำการแทนปืน M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm. NATO (.308 Winchester) และยังใช้กันอยู่ในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO ทั้ง 15 ประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ช่วงต้นทศวรรษ 1960 และหลังจากนั้นได้มีการนำไปใช้อย่างเป็นทางการ ในกองทัพอากาศสหรัฐ โดยระบุรุ่นเป็น M16 ส่วนกองทัพบกนั้นได้ใช้รุ่น M16A1 อย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1967 โดยยังมีรุ่นอื่นๆ เกิดขึ้นมากมายในระหว่างทดลองใช้ช่วงแรก แม้ในช่วงแรกๆ ปืน M16 จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ในที่สุดก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาจนถึงขีดสุด เป็นอาวุธที่มีความได้รับความไว้วางใจสูง เดิมนั้นออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ.1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนเล็กยาวแบบซ้อมยิงเล่นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้าประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และหน่วยสนับสนุนการรบต่างๆในช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นชอบมีปัญหาเรื่องลำกล้องของปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมีการยิงต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก จนในที่สุดบริษัท Armalite จึงได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ซึ่งต่อมาก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ.1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า ""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก

ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 Ball หรือ SS-109 ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพทำลายล้างมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense(US DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติ (Burst Auto) คือชุดละ 3 นัด/ครั้ง โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม

เมื่อถึงทศวรรษ 1980 ได้มีการปรับปรุงปืน M16A1 เป็น M16A2 และ M16A3 ตามลำดับ โดยรุ่น A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto)และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนรุ่น A4 ก็ไม่ต่างจากรุ่น A3 เพียงแต่จะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติ (Three-Burst Auto) เพียงเท่านั้น โดยทั้งรุ่น A3 และ A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 ทุกประการแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top)ออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ในขณะที่ A2 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว ในขณะที่ M16A1 ติดขาทรายและปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกลเบา SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาดเดียวกับปืน M16 เพื่อลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนามรบของหน่วยพลาธิการ ในช่วงทศวรรษ 1980 โดยทั้งปืน M16A2 และปืนกล M249 นั้น จะใช้กระสุนมาตรฐานของ NATO ทั้งหมด ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวในการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น